นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. อยู่ที่ระดับ 92.6 เพิ่มขึ้นจากระดับ 91.5 ในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งมาจากคำสั่งซื้อของผู้ประกอบการรายกลางและขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นช่วงปลายปีรองรับเทศกาลปีใหม่และคริสต์มาส
ขณะที่ราคาน้ำมันโลกก็ปรับตัวลดลงส่งผลดีต่อต้นทุนค่าขนส่ง ประกอบกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับขึ้นมาที่ระดับ 106.7 เพิ่มขึ้นจาก 106.1 ในเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 77 เดือน มีปัจจัยหนุนจากการที่ไทยจะมีการเลือกตั้งปีหน้า ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป “ผู้ประกอบการยังกังวลต้นทุนผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงสงครามการค้าจีนสหรัฐฯที่อาจกระทบส่งออกไทย อีกทั้งเงินบาทยังแข็งค่า ดังนั้น ภาครัฐควรออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศและส่งเสริมการค้าการลงทุนในอาเซียน”
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้ปรับเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้เป็น 2,100,000 คัน จากเป้าเดิม 2,080,000 คัน เพิ่มขึ้น 5.59% จากปีก่อนที่ผลิตได้ 1,988,823 คัน แยกเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่ปรับขึ้นอีก 20,000 คัน เท่ากับว่าตลอดทั้งปีนี้จะมียอดจำหน่ายรถยนต์ที่ผลิตได้ในประเทศทั้งสิ้น 1,000,000 คัน จากปีที่แล้วที่ผลิตและจำหน่ายได้ 862,391 คัน เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และรถยนต์เป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีพของคนไทยยุคนี้ ขณะที่การผลิต เพื่อส่งออกยังคงเป้าเดิมที่ 1,100,000 คัน คิดเป็น 52.38% ของยอดผลิตทั้งหมดลดลง 2.35% จากปีก่อน “ยอดผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถกระบะส่งสัญญาณต่อเศรษฐกิจไทยที่เติบโต ซึ่งมาจากการที่รัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การลงทุนภาครัฐและเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น”
นายจงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจ CEO Survey ทิศทางเศรษฐกิจปี 62 พบว่าผู้ประกอบการมองเศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวและการเลือกตั้งจะสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีช่วยดึงดูดการลงทุนต่างชาติได้ และปีหน้าต้องการให้รัฐสนับสนุนให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจใช้สินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ และให้เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอีอีซี เป็นต้น.
ข้อมูลจาก : ไทยรัฐ